ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Punctuation Marks (เครื่องหมายในภาษาอังกฤษ)


* Punctuation Marks นั้น เราคนไทยเรียกว่า "เครื่องหมายวรรคตอน"
*เวลาเราพูดภาษาอังกฤษ ทั้งคนพูดและคนฟังไม่เห็นเครื่องหมายอะไรสักอย่าง แต่ถ้าเขียนละก็ เครื่องหมาย
วรรคตอนเข้ามาเป็นพระเอกนางเอกเลยทีเดียว
+ เอาง่ายๆเห็นๆก่อนก็ได้ คือ ในการเขียนประโยคภาษาอังกฤษทุกประโยค ท้ายประโยคต้องมีเครื่องหมาย
วรรคตอน (Punctuation Marks) อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอนในสามอันต่อไปนี้ที่เรารู้จักดี ขาดไม่ได้ ได้แก่
-- Full stop (อเมริกันเรียก period) ใช้จบประโยคบอกเล่าธรรมดาปกติ
-- Exclamation mark ที่เรามักเรียกแบบลูกทุ่งว่า "เครื่องหมายตกใจ" แต่ในหลักภาษาไทย เขาเรียกว่า
เครื่องหมายอัศเจรีย์ ใช้แสดงอารมณ์หรือความรู้สึก
-- Question mark เครื่องหมายคำถาม หรือเครื่องหมายปรัศนีย์ ก็ชัดเจนว่าใช้ปิดท้ายประโยคคำถาม

ถ้าลองดูประโยคเดียวกัน เขียนเหมือนกัน ถ้อยคำเหมือนกัน แต่ี่ใช้่เครื่องหมายต่างกันทั้งสามอัน ดังข้างล่าง
อารมณ์และความรู้สึกจะต่างกันไปด้วย แม้ความหมายจะดูคล้ายๆกันแต่ก็ไม่เหมือนกันเปี๊ยบ ลองดู
I love you .ให้ความหมายและความรู้สึกปกติ เรียบๆธรรมดาๆ ว่า "ฉันรักเธอ" "ผมรักคุณ" ฯลฯ ทำนองนี้
I love you!  ให้ความรู้สึกหนักแน่นจริงจังกว่าประโยคแรก หากจะ้แปลก็ได้ทำนองว่า "ฉันรักเธอจริงนะ"
I love you ? ประโยคสุดท้าย มีเครื่องหมายคำถามปิดท้าย คำถามย่อมไม่ใช่คำตอบ เครื่องหมายนี้ก็บอกชัดแล้ว
ว่ายังไม่แน่ใจ ยังไม่สิ้นสุดยุติ ยังเป็นปัญหา ฯลฯ จึงให้ความรู้สึกทำนองว่า ฉันรักเธอน่ะเหรอ....เชอะ...
คงยากส์....ตลกจัง....คงไม่มีทางเป็นไปได้.....(เพราะรู้่อยู่ว่าเธอมีคนรักอยู่แล้ว....เพราะเห็นอยู่ว่าเราต่างกัน
มากมาย... แล้วฉันจะรักเธอได้ยังไง....???)

เครื่องหมายวรรคตอนมีมากกว่า 3 อันที่ยกตัวอย่างตามตารางข้างล่างนี้  (  ดูข้างล่างจ้า ....  )



Katy Perry-Firework




ฟังเพลงและมิวสิควิดีโอกันไปแล้ว คราวนี้มาดูเนื้อหาในเพลงกันบ้างว่าจะซึ้งแค่ไหน…
[Lyrics]
Do you ever feel like a plastic bag,
drifting through the wind
wanting to start again?
Do you ever feel, feel so paper thin
like a house of cards,
one blow from caving in?
เธอเคยรู้สึกไหม…บางครั้งที่ชีวิตไร้จุดหมาย
ราวกับถุงพลาสติกที่ล่องลอยไปตามสายลม ไปรู้ว่าลอยไปที่ไหน
แล้วเธอละ อยากให้เป็นอย่างนี้อีกหรือ
เธอเคยรู้สึกไหม…ว่าชีวิตก็เหมือนกระดาษบางๆ เหมือนบ้านไพ่ที่แค่ลมเบาพัดก็พังง่ายดาย
ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างในชีวิตเราก็อาจล่มสลายได้ในชั่วพริบตาได้เหมือนกัน
 .
Do you ever feel already buried deep?
6 feet under screams but no one seems to hear a thing
Do you know that there’s still a chance for you
‘Cause there’s a spark in you
เธอเคยรู้สึกไหม…ว่าเหมือนกับถูกฝังลึกไว้ใต้ผืนดิน
กรีดร้องเพียงใดก็ไม่มีใครได้ยิน
แต่ถึงอย่างนั้น…ก็ใช่ว่าความหวังของเธอจะหมดสิ้น
ก็ในเมื่อเธอยังมี “ประกายไฟ” ในตัวของเธอเองยังไงละจ่ะ
  .
You just gotta ignite, the light, and let it shine
Just own the night like the 4th of July
เพียงเธอแค่จุดประกายฝัน
ให้ไฟในตัวเธอนั้นโชนฉาย
ให้โชติช่วงเปล่งแสงส่องประกาย
สาดสว่างราวราตรีกลับกลายเป็นทิวา
(Oops!! เป็นกลอนเลยแฮะ ^^)
 .
‘Cause baby you’re a firework
Come on, show ‘em what you’re worth
Make ‘em go “Oh, oh, oh”
As you shoot across the sky-y-y
เพราะว่าเธอคนดี…เป็นดังพลุเจิดจรัสประกาย
 เอาเลยสิ…ทำให้ใครต่อใครได้รู้ว่าเธอมีคุณค่าไม่แพ้ใครๆ
ให้ใครๆต้องร้อง “ว้าว”
ดังเธอประกายพลุส่องสว่างทั่วท้องฟ้า.
.
Baby, you’re a firework
 Come on, let your colors burst
Make ‘em go “Oh, oh, oh”
You’re gonna leave ‘em all in awe-awe-awe
เพราะว่าเธอคนดี…เป็นดังพลุเจิดจรัสประกาย
เอาเลยสิ…ทำให้ใครต่อใครได้รู้ว่าเธอมีคุณค่าไม่แพ้ใครๆ
ให้ใครๆต้องร้อง “ว้าว”
แล้วทำให้ทุกคนตกตะลึง ว่าเธอก็เป็นคนหนึ่งที่พิเศษเช่นกัน
 .
You don’t have to feel like a waste of space
You’re original, cannot be replaced
If you only knew what the future holds
After a hurricane comes a rainbow
อย่าเลย…อย่าคิดว่าตัวเองไร้คุณค่า ไร้ซึ่งประโยชน์
ในเมื่อเธอนั้นโดดเด่น ไม่มีใครมาเหมือนเธอได้
หากแต่เพียงเธอได้รู้ว่า…แท้จริงอนาคตเธอสดใสเพียงใด
นั่นก็เหมือนที่เขาว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ
 .
Maybe your reason why all the doors are closed
So you could open one that leads you to the perfect road
Like a lightning bolt, your heart will glow
And when it’s time, you’ll know
ในบางคราที่ราวกับว่าทุกโอกาสปิดใส่หน้าเธอ
นั่นก็เป็นเพราะ…เธอจะได้เลือกเปิดโอกาสเพียงหนึ่งเดียว
ที่จะนำเธอไปสู่ที่ที่เหมาะสมที่สุด
ดุจดังสายฟ้าที่ฟาดลงมาทันทีทันใด
หัวใจของเธอก็เลยเปล่งประกาย
และเมื่อถึงเวลานั้น…เธอก็จะรู้
 .
You just gotta ignite, the light, and let it shine
Just own the night like the 4th of July
 .
Boom, boom, boom
Even brighter than the moon, moon, moon
It’s always been inside of you, you, you
And now it’s time to let it through-ough-ough
บูม บูม บูม
เธอจงทำให้ตัวเองสว่างกระจ่างยิ่งกว่าแสงจันทราในราตรีไหนๆ
ก็เธอมีประกายไฟอยู่แล้วข้างในใจ
และถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะได้เปล่งประกายให้โลกได้รับรู้….
 ……………………………………………………………………………………
งั้นมาดูสิ่งที่น่าสนใจในเนื้อเพลงกันเลย…
1. drift = ปลิว,ล่องลอย หรือการเบี่ยงเบนออกจากเส้นทาง ดังเช่น การดริฟท์รถแข่ง
ex. A plastic bag is drifting through the wind. = ถุงพลาสติกปลิวว่อนไปตามแรงลม
2. cave in = ล้มเหลว,พังทลาย
3. bury = ฝัง
4. ignite = จุดไฟ
5. 4th of July = วันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันชาติของอเมริกาที่มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่
6. burst = ระเบิด,ประทุ
7. lightning = สายฟ้า (อย่าสับสนกับ lightening น่ะ เพราะความหมายต่างกัน)
8. bolt = แสงแปลบปลาบของฟ้าแลบ
 .
เอาละจบแล้วสำหรับเพลงนี้ แต่ พวกเราจขบ.ชอบเนื้อเพลงนี้ที่สุด  เป็นกำลังใจให้พวกเราได้ดีมากๆเลย เมื่อไรที่ท้อก็จะทำให้มีแรงฮึกเหิมขึ้นมาทีเดียวเชียว ก็เลยอยากให้วิวเวอร์ทุกคนมีแรงพลังในการใช้ชีวิตให้เต็มที่ ชีวิตเราก็มีเพียงแค่นี้แหละ ลุยเลยให้เต็มที่ คุณนั้นเป็นคุณได้ดีที่สุด มีคุณแบบคุณหนึ่งเดียวเท่านั้นในโลกนี้ ฉะนั้นไม่ต้องทำตามใคร ไม่ต้องเลียนแบบใคร บางครั้งที่เราล้ม เราท้อก็อย่าเสียใจไป ล้มแล้วเราลุกขึ้นได้ เพราะเรานั้นไม่สำคัญว่าจะล้มยังไง แต่สำคัญที่ว่าเมื่อล้มแล้ว…ลุกขึ้นมาต้องเข้มแข็งกว่าเดิมให้ได้…จากใจ เซาะ เฟิร์น โรส^^ENG03